ศาสตราจารย์พิเศษ พลตำรวจเอก ดร.พงศพัศ พงษ์เจริญ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ, อดีตเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) และประธานคณะอนุกรรมการ กลั่นกรองการกระทำความผิด เกี่ยวกับยาเสพติดในสถานประกอบการ ในเขตกรุงเทพมหานคร, อดีตที่ปรึกษาสัญญาบัตร 10 (สบ 10) ฝ่ายความมั่นคงและกิจการพิเศษ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ, อดีตโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และอดีตผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นผู้แทนพรรคเพื่อไทย ในการลงสมัครเข้ารับการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2556
พล.ต.อ.พงศพัศ มีชื่อเดิมว่า ไพรัช (เปลี่ยนชื่อตรงกับวันที่ปรับโครงสร้าง จากกรมตำรวจ เป็นสำนักงานตำรวจแห่งชาติ) เกิดเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2498 ที่จังหวัดจันทบุรี จบการศึกษาระดับมัธยมจากโรงเรียนเบญจมราชูทิศ จังหวัดจันทบุรี จบการศึกษาจากโรงเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 15 (ตท.15) โรงเรียนนายร้อยตำรวจรุ่นที่ 31 โดยสอบได้ที่ 1 ทุกชั้นปี เมื่อศึกษาจบแล้วได้รับเงินทุนการศึกษาจากสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ไปศึกษาต่อด้านอาชญาวิทยาจากมหาวิทยาลัยแซมฮิวสตันสเตต สหรัฐอเมริกา จนกระทั่งจบปริญญาเอก ชีวิตครอบครัว สมรสกับกรพัณณ์ (เดิมชื่อ วิริยา) มีบุตร-ธิดา 3 คน ได้แก่ จิตจุฑา (ญ) อินทัช (ช) และวนัชพรรณ (ญ) และยังได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้เป็นศาสตราจารย์พิเศษ ประจำโรงเรียนนายร้อยตำรวจ
รับราชการครั้งแรกด้วยการเป็นนายเวรติดตาม พล.ต.อ.แสวง ธีระสวัสดิ์ ตั้งแต่ยังเป็นผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบ.ช.น.) จนกระทั่งได้เป็นอธิบดีกรมตำรวจ ต่อมาได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้บังคับการศูนย์คอมพิวเตอร์ตำรวจและผู้บังคับการกองสารนิเทศ กรมตำรวจ และในปี พ.ศ. 2540 ได้รับพระราชทานยศเป็น พลตำรวจตรี (พล.ต.ต.) ถือเป็นบุคคลแรกในรุ่น ที่ได้รับพระราชทานยศนายพล จากนั้นได้เลื่อนขึ้นรองผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และได้รับเลื่อนยศเป็น พลตำรวจโท (พล.ต.ท.) ในตำแหน่งผู้บัญชาการประจำตำรวจประสานงานนายกรัฐมนตรีและมหาดไทย
พล.ต.อ.พงศพัศ เป็นที่รู้จักดีของสังคม เนื่องจากเป็นโฆษกกรมตำรวจและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งการทำหน้าที่นี้นับว่าโดดเด่นมาก จนเป็นที่กล่าวขานกันโดยทั่วไป จากนั้นได้เข้ารับตำแหน่งผู้บัญชาการโรงเรียนนายร้อยตำรวจและดำรงตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในปี พ.ศ. 2550 แต่ในต้นปี พ.ศ. 2551 ได้มีคำสั่งจาก พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ย้ายออกจากตำแหน่งโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยแต่งตั้ง พล.ต.ท.วัชรพล ประสารราชกิจ แทน โดยให้เหตุผลว่า พล.ต.ท.วัชรพล มีความเป็นนักวิชาการมากกว่า
จนกระทั่งในวันที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2552 หลังจากที่ พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รับตำแหน่งรักษาการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติแล้ว ก็ได้มีคำสั่งแต่งตั้งให้ พล.ต.อ.พงศพัศ กลับเข้ามาทำหน้าที่โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติอีกครั้ง ซึ่งในปลายปีเดียวกันนั้น สื่อมวลชนได้ตั้งฉายาให้แก่ พล.ต.อ.พงศพัศ ว่า "ดาราสีกากี" อันเนื่องจากมักปรากฏบทบาทผ่านทางสื่อต่าง ๆ แทบทุกวัน เสมือนดาราภาพยนตร์คนหนึ่ง
ในกลางปี พ.ศ. 2553 พล.ต.อ.พงศพัศ ได้ยื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่งโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยให้เหตุผลว่าดำรงตำแหน่งนี้ยาวนานถึง 5 สมัยแล้ว โดยเป็นมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2537 อีกทั้งได้รับการแต่งตั้งจากคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ให้ขึ้นดำรงตำแหน่งที่ปรึกษา (สบ.10) ด้านความมั่นคงและกิจการพิเศษ เทียบเท่ารองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และได้รับเลื่อนยศให้เป็นพลตำรวจเอก (พล.ต.อ.) พล.ต.อ.พงศพัศ ยังรับตำแหน่งเป็นโฆษกด้านตำรวจประจำศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในปี พ.ศ. 2554 อีกด้วย
กระทั่งวันจันทร์ ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม แต่งตั้งข้าราชการตำรวจระดับยศนายพลตำรวจ วาระประจำปี 2554 มีจำนวนทั้งสิ้น 46 ตำแหน่ง มีผลตั้งแต่วันที่ 18 พ.ย. 2554 แต่งตั้ง พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ที่ปรึกษา สบ 10 เป็น รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) อีกตำแหน่งหนึ่ง ทั้งได้รับการเสนอชื่อให้เป็นกรรมการบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และกรรมการการไฟฟ้านครหลวง
จากคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 84/2557 เรื่อง การกำหนดตำแหน่งเพิ่มและการแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่ง ลงวันที่ 3 กรกฎาคม 2557 ลงชื่อ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ข้อ 5 มีคำสั่งให้ พลตำรวจเอกพงศพัศ พงษ์เจริญ พ้นจากตำแหน่ง เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด และให้กลับไปปฏิบัติราชการที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ช่วงเดือนตุลาคม พ.ศ. 2555 มีกระแสข่าวว่า พล.ต.อ.พงศพัศ จะลงรับสมัครเลือกตั้งเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ในสังกัดพรรคเพื่อไทย โดยทาบทามของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แต่ในเวลาต่อมา พล.ต.อ.พงศพัศได้ปฏิเสธข่าวนี้ อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นยังคงมีกระแสข่าวมาอย่างต่อเนื่อง โดย พล.ต.อ.พงศพัศ มีท่าทีแบ่งรับแบ่งสู้ โดยกล่าวว่าอยู่ที่มติของคณะกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย และการตัดสินใจของตัวเขาเอง
กระทั่งวันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2556 นายภูมิธรรม เวชยชัย เปิดเผยว่าคณะกรรมการโซนกรุงเทพมหานคร พรรคเพื่อไทย ทั้ง 3 โซน มีมติเสนอชื่อ พล.ต.อ.พงศพัศ เป็นผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ต่อที่ประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคเพียงชื่อเดียว และในวันที่ 13 มกราคม พรรคเพื่อไทย มีมติเอกฉันท์ให้ พล.ต.อ.พงศพัศ ลงสมัครในนามพรรคเพื่อไทย
พล.ต.อ.พงศพัศ ประกาศนโยบายในการหาเสียงว่า จะทำงานร่วมกับรัฐบาลอย่างไร้รอยต่อ และจากการสำรวจความคิดเห็น (โพล) แทบทุกสำนัก เป็นผู้มีความนิยมในอันดับที่หนึ่ง แต่คะแนนที่ได้รับจากการเลือกตั้งคือ 1,077,899 เสียง เป็นอันดับที่ 2 แม้จะไม่ได้รับการเลือกตั้ง แต่ก็ทำลายสถิติของนายสมัคร สุนทรเวช เมื่อปี พ.ศ. 2543
27 ตุลาคม 2558 พล.ต.อ.พงศพัศ ได้รับการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2548 เกวลิน กังวานธนวัต ผู้ประกาศข่าวสถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ ให้การในฐานะพยานจำเลย ในคดีที่ พล.ต.อ.สันต์ ศรุตานนท์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก และพวกรวม 17 คน ทั้งหมดเป็นสื่อมวลชน และนักพัฒนาเอกชน (เอ็นจีโอ) เป็นจำเลยในคดีแพ่ง ข้อหาหมิ่นประมาท กรณีนำเสนอข่าวข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ มีพฤติกรรมลวนลามนักข่าวสาว โดยเสนอข่าวว่า พล.ต.ท.พงศพัศ (ยศขณะนั้น) เข้าไปจับแขน และพาไปพบนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ซึ่ง พล.ต.อ.สันต์ เรียกค่าเสียหาย 2,500 ล้านบาท ตามคดีหมายเลขดำที่ 3968-3977/2547 ต่อมาศาลแพ่งพิจารณาเห็นว่า การเสนอข่าวของสื่อมวลชน เป็นไปตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง จึงมีคำพิพากษายกฟ้องคดีดังกล่าว